ถูกตั้งคำถามพอสมควร สำหรับการปักหมุดคณะราษฎร 2563 และการยื่นข้อเรียกร้องถึงประธานองคมนตรีผ่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม มองว่า นั่นคือ “ชัยชนะ” ของการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 กันยายนที่ผ่านมา
เพราะหากนั่นคือ “ชัยชนะ” คำถามคือ การชุมนุมดังกล่าวหวังเพียงเพื่อต้องการ “ความสะใจ” ที่ได้กล้าแสดงออกในสิ่งที่หลายคนไม่กล้าแสดงออกเท่านั้นใช่หรือไม่
ต้องยอมรับว่า ภายหลังการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง เรื่องการปักหมุด-รื้อหมุด ดูจะเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจจากโซเชียลมีเดียก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน ปฏิกิริยาที่ไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกหลายอย่างของม็อบ เริ่มมีมิติที่มากขึ้นกว่าเดิม
หลายฝ่ายเลือกจะผละออกจากม็อบ ไม่ใช่เพราะเลิกเกลียดรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากแต่มองว่าม็อบได้ถลำล้ำเส้นเกินกว่าการเรียกร้องประชาธิปไตย โดยเฉพาะการรุกล้ำสถาบันเบื้องสูงของชาติ
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ที่มุ่งตรงเข้าสู่ท้องสนามหลวงและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อต้องการความเปลี่ยนแปลงจากสภาวะที่ยากลำบาก
เปลี่ยนแปลงในที่นี้ นั่นคือ ต้องการขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากไม่พอใจการบริหารประเทศตลอดระยะเวลา 6 ปี
นอกจากนี้ยังออกมาเพราะรู้สึกไม่พอใจการดำเนินการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่ยังเป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ว่าจะเป็นการร่างรัฐธรรมนูญที่ออกแบบกติกาที่ทำให้รู้สึกว่า พรรคที่ตัวเองชอบอย่างพรรคเพื่อไทยเสียเปรียบ
การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยให้มีอำนาจลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี จนทำให้พรรคเพื่อไทย หรือรวมไปถึงพรรคอนาคตใหม่ ไม่สามารถแข่งขันจัดตั้งรัฐบาลได้
การมีข่าวเรื่องอื้อฉาวในโครงการทุจริตต่างๆ การใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และที่สำคัญคือ ปัญหาปากท้องที่คนเหล่านี้รู้สึกว่าย่ำแย่ลง
หากแต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถูกพูดขึ้นในเวทีปราศรัยของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม แต่มุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปสถาบันเบื้องสูง
ในมุมของประชาชนรากหญ้า เนื้อหาที่แกนนำพยายามนำเสนอมันดูค่อนข้างไกล เพราะสิ่งที่รู้สึกได้มากที่สุดคือ เรื่องปากท้อง ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
มันจึงมีปฏิกิริยาที่ค่อนข้างผิดหวังกับม็อบออกมาอยู่เนืองๆ หลังจากนั้น ซึ่งข้อคิดเห็นของ “วรวรรณ ธาราภูมิ” อดีตประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) ที่หากมองด้วยเหตุด้วยผลค่อนข้างขยายภาพได้มากที่สุด
“ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะมีคนพูดเรื่องข้อดีข้อเสียของการมี ส.ว. แบบปัจจุบัน รวมไปถึงการนับคะแนนเลือกตั้งที่เอามาหารด้วยสูตรประหลาดที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะมีนักศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์สักคน ที่สามารถชี้แนวทางใหม่ที่ปฏิบัติได้จริงในเรื่องทุนนิยม การผูกขาด และความเหลื่อมล้ำ”
มีคนเห็นด้วยกับ “วรวรรณ” อยู่ไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้มีการวิเคราะห์กันว่า หากการชุมนุมวันที่ 19-20 กันยายนที่ผ่านมา มุ่งเน้นไปที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แนวร่วมของม็อบจะมากขึ้นกว่านี้ หรือการเคลื่อนไหวของม็อบจะหนักหน่วงกว่านี้
ขณะเดียวกัน วิถีที่ม็อบเดินยังกำลังจะเป็น “ดาบสองคม” ให้แก่ตัวเอง โดยเฉพาะปฏิบัติการไล่ล่าผู้เห็นต่าง ที่ทำให้พวกเขากำลังถูกคำถามว่า แล้ววันนี้ “ม็อบปลดแอก” แตกต่างกับ “กปปส.” ที่พวกเขาต่อว่ามาตลอดอย่างไร
มีการปกป้องพฤติกรรมการตัดโซ่คล้องประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า เมื่อครั้ง กปปส. ทำยิ่งกว่านี้ ทั้งที่โดยหลักหากอะไรเป็นสิ่งไม่ดีมันก็ไม่ควรจะต้องปฏิบัติตาม โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาถูกยกให้เป็น “คนรุ่นใหม่”
การรณรงค์ให้ “แบน” สินค้า ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยง เกี่ยวข้อง หรือสนับสนุนบุคคลที่เห็นต่าง กำลังถูกกระแสตีกลับว่า เป็นการ “ไล่ล่า” ผู้เห็นต่าง ซึ่งไม่ใช่วิถีของคนรุ่นใหม่
มีการถึงขั้นเปรียบเปรยว่า สุดท้ายแล้วอาจไม่ใช่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำร้ายม็อบ หากแต่เป็นม็อบที่กำลัง “ทำร้ายตัวเอง”
น่าสนใจว่า เมื่อมีปฏิกิริยาในลักษณะนี้ออกมา ม็อบจะรับฟัง หรือปรับเปลี่ยนแนวทางการเคลื่อนไหวใหม่หรือไม่ หรือจะยังยืนหยัดในวิธีเดิม.
September 23, 2020 at 12:05AM
https://ift.tt/3clNJkh
ปฏิกิริยาหลัง 19 กันยายน ปัญหาปากท้องที่หล่นจากเวที - ไทยโพสต์
https://ift.tt/2Y7cf1E
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ปฏิกิริยาหลัง 19 กันยายน ปัญหาปากท้องที่หล่นจากเวที - ไทยโพสต์"
Post a Comment